fbpx
 

ที่มาของ ‘Amazon.com’ สู่ E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก!

ที่มาของ ‘Amazon.com’ สู่ E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก!

ถ้าพูดถึงเว็บไซต์ขายสินค้าปลีกทางออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นเว็บไซต์  Amazon.com ที่มีกำลังการเติบโตที่สูงมาก ทั้งยังไม่ได้มีอัตราการขยายตัวอยู่แค่เฉพาะในอเมริกา แต่ยังมีอัตราการขยายตัวไปยังทั่วโลก ทั้งในยุโรปและเอเชีย ถ้าเทียบกับตลาดออนไลน์ที่คนไทยคุ้นดี ก็เหมือน Shopee กับ Lazada เเต่สเกลลูกค้าใหญ่กว่าหลายร้อยเท่านั้นเอง

Amazon.com ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1994 ในเมืองซีแอตเทิล มลรัฐวอชิงตัน โดย Jeff Bezos เริ่มต้นใช้ชื่อว่า Cadabra.com โดยเป็นร้านหนังสือออนไลน์ร้านแรก ๆ ในยุคบุกเบิกของธุรกิจอินเทอร์เน็ต ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 30 ปี และตอนแรกเขาขายเพียงหนังสือเท่านั้น และ ในวันที่ก่อตั้งนั้นทางเว็บไซต์ได้วางเป้าหมายว่าเราจะเป็นขายหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจากคำแนะนำของทนายความ ในที่สุด Jeff Bezos ตัดสินใจเลือก ‘Amazon’ เป็นชื่อบริษัท เช่นเดียวกับ Amazon ที่เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก

Jeff เริ่มต้นธุรกิจของเขา ร่วมกันกับพนักงานแรกเริ่มเพียงแค่ 4 คน และเงินลงทุนเพียง 10,000 เหรียญสหรัฐฯที่ควักจากกระเป๋าตัวเอง Jeff ได้เริ่มต้นทำการตลาดแบบง่าย ๆ ด้วยการส่งอีเมล์หาเพื่อน ๆ ที่รู้จักกันประมาณ 300 คน เพื่อให้มาทดลองใช้งานระบบบนเว็บไซต์ ก่อนที่จะเปิดตัวจริง ๆ ในวันที่ 16 กรกฎาคม 1995 และขอให้เพื่อน ๆ เหล่านั้น ช่วยกันกระจายข่าวออกไป ซึ่งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆของ Amazon เท่านั้น

ช่วงปี 1996 Amazon ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เป็นบริษัทน้องใหม่ที่มีมูลค่ามากถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ ผ่านไปแค่ 2 ปี Amazon ก็ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นในปี 1997 และทำให้ Jeff มองเห็นช่องทางในการขยายธุรกิจ ที่จะไม่หยุดอยู่ที่เพียงร้านขายหนังสือออนไลน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาจึงค่อย ๆ เพิ่มสินค้าใหม่ ๆ เข้าไปในร้าน ไม่ว่าจะเป็น CD, DVD, Elctronics และอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน จนกลายเป็น “Everything Store” ขายทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ก็ว่าได้

ต่อมา Amazon ได้ปล่อยระบบ Subscription ที่ชื่อว่า “Amazon Prime” ออกมาในปี 2005 ซึ่ง Prime เป็นระบบที่มอบคุณค่าให้กับทั้งธุรกิจและลูกค้า และสร้างให้เกิด Amazon Prime Day กระแส Shop กระหน่ำข้ามวัน ข้ามคืน เรียกได้ว่าเป็นมหกรรมช้อปมาจนถึงปัจจุบัน โดยอ้างอิงสถิติในปี 2565 ลูกค้าที่เป็นสมาชิกอเมซอนไพร์มมียอดซื้อสินค้าด้วยยอดรวมมากกว่า 300 ล้านชิ้นทั่วโลกคิดเป็นคำสั่งซื้อ 100,000 ชิ้นต่อนาที

และAmazon ยังคงไม่หยุดพัฒนา มีระบบการให้บริการ และการดูแลประสบการณ์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Amazon กลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

วันนี้ Amazon.com ไม่ได้ดำเนินธุรกิจเพียงแค่ในอเมริกาเท่านั้น แต่ยังคงขยายไปยังประเทศต่างๆ เพิ่มศักยภาพในการรองรับลูกค้า และ ผู้ขายมากขึ้น Amazon เป็นหนึ่งใน Online Retailer ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ด้วยการสร้าง Customer Experience ที่ดีให้แก่ลูกค้า ซึ่งทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ (Customer Retention) และบอกต่อความประทับใจรวมถึงคุณค่าที่พวกเขาได้รับจาก Amazon

 

หากใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเป็นพ่อค้าแม่ค้าแล้วอยากขายของไปต่างประเทศละก็ Amazon คือ เว็บไซต์ที่ไม่ควรพลาด เพราะแค่เพียงเอาสินค้าไปวางขายบน Amazon.com ก็จะมีคนนั้บพัน นับหมื่นวนเวียนเข้ามาดูสินค้าของคุณอย่างง่ายดาย ไม่ต้องมานั้งหาลูกค้าเองแบบอดีตอีกแล้ว และใครที่มีออเดอร์ส่งต่างประเทศ ก็แนะนำให้มาส่งกับ FastShip เรามีให้บริการทุกรูปแบบ ทั้งส่งตรงถึงลูกค้าปลายทาง หรือส่งของเข้าคลัง FBA ด้วยเรทราคาที่ถูกกว่า ส่งไวเพียง 3 -5 วันทำการ พร้อม รับฟระกันพัสดุสูญหาย เสียหายฟรี มีขนส่งดีๆคู่ใจ ขายของไปต่างประเทศย่อมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอให้ทุกคนขายดีเป็นเทน้ำ เทท่ากันเลยนะคะ

แหล่งที่มา

  • https://www.wikifx.com/th/newsdetail/202108233824251917.html
  • https://thegrowthmaster.com/case-study/amazon
  • https://www.benzio.net/v2/?p=1903
  • https://www.blockdit.com/posts/5dbf1681cba1ec29ec78db6a


Bitnami