12 ก.ย. 3 เทคนิคตั้งราคาให้ขายดีบน Amazon และ eBay
นอกจากการขายสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดแล้ว การตั้งราคาที่ดี ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อยอดขายบนเว็บไซต์ Marketplace อย่าง Amazon และ eBay เป็นอย่างมาก ผู้ขายที่ขายสินค้าเหมือนๆกันแต่มีการตั้งราคาที่แตกต่างกันอาจจะมียอดขายที่แตกต่างกันมากได้ หลายคนอยากรู้เทคนิคเคล็ดลับในการจะตั้งราคาสินค้าบน Amazon ว่าจะทำยังไงให้ขายดีเหมือนเทน้ำเทท่า วันนี้ FastShip จะมาแชร์ 3 เทคนิคในการตั้งราคาเพื่อให้ขายดีบน Amazon และ eBay กัน
1. ตั้งราคาเกินเพื่อไว้ลดราคา
วิธีการตั้งราคาแบบแรกเป็นเทคนิคการขายแบบดั้งเดิม (traditional) ที่พ่อค้าแม่ค้าทั่วไปใช้กันเป็นปกติอยู่แล้ว เป็นการตั้งราคาที่เผื่อเอาไว้สำหรับลดราคาโดยที่การลดราคาไม่ทำให้ขาดทุน เช่น คุณต้องการจะขายสินค้าชนิดหนึ่ง โดยที่มีราคาในใจอยู่ที่ 15 เหรียญ แต่คุณอาจจะตั้งไว้ที่ 20 แล้วตั้งลดราคาลงมาเหลือ 15 เหรียญ เพื่อสร้างแรงดึงดูดและทำให้ลูกค้าสนใจว่าสินค้าของคุณกำลังลดราคาอยู่นั่นเอง ลูกค้าที่เห็นสินค้าลดราคาย่อมถูกดึงดูดได้มากกว่าสินค้าที่ขายในราคาปกติ (แม้อันที่จริงแล้วจะเป็นราคาเดียวกันก็ตาม)
แต่ข้อควรระวังสำหรับการตั้งราคาแบบนี้คือคุณจะทำได้ก็ต่อเมื่อสินค้าที่คุณขาย “มีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่ขายอยู่” เพราะถ้าหากมีคู่แข่งที่ขายสินค้าเหมือนๆกันอยู่ แน่นอนว่าการจะตั้งราคาแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะลูกค้าอาจจะเห็นสินค้าเดียวกันที่ขายในราคา 15 เหรียญแบบไม่ลดราคาจากคู่แข่ง แล้วลูกค้าจะรู้ทันทีว่าการลดราคาของคุณนั้นเป็นกลยุทธ์การตลาด (ไม่ใช่การลดราคาจริงๆ)
2. ตั้งราคาแพงสินค้ากว่า แต่ราคารวมแล้วถูกกว่า
การขายสินค้าบน Amazon ถึงแม้สินค้าบางอย่างจะมีราคาที่ถูกกว่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะขายได้ดีกว่าเสมอไป เพราะก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าส่วนใหญ่ก็มักจะกดดู Other Sellers on Amazon เพื่อเช็คราคาอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจซื้อ จะทำให้เห็นว่ามีใครขายสินค้านี้บ้างและมีราคาเท่าไรเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะได้สินค้าในราคาที่ถูกจริงๆ
ลูกค้าจะไม่ได้เปรียบเทียบแค่ราคาสินค้าเท่านั้น แต่เขาจะเปรียบเทียบโดยด้วยรวมราคาทั้งหมดของการซื้อสินค้าชิ้นนั้นซึ่งจะรวมกับค่าจัดส่งด้วย เช่น ผู้ขายคนที่ 1 ขายมีดโกนหนวดราคา 50 เหรียญ แต่ต้องเสียค่าจัดส่งอีก 10 เหรียญ รวมแล้วต้องจ่ายทั้งหมด 60 เหรียญ แต่ผู้ขายคนที่ 2 ขายมีดโกนหนวดราคา 59 เหรียญ มีราคาที่แพงกว่าก็จริงแต่ฟรีค่าจัดส่ง รวมแล้วจ่ายเพียงแค่ 59 เหรียญ โอกาสที่ลูกค้าจะเลือกซื้อกับคนที่ 2 ก็มีมากกว่าเพราะถูกกว่านั่นเอง
3. ตั้งราคาดีด้วยการใช้ Amazon Prime เข้ามาช่วย
Amazon Prime เป็นบริการหนึ่งของ Amazon ที่ชาวอเมริกานิยมสมัครเพื่อรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าจะเสียค่าบริการสำหรับ Amazon แต่การใช้ประโยชน์จาก FBA หรือ Fulfillment by Amazon (ผู้ขายนำสินค้าเข้าไปอยู่ในโกดังของ Amazon เมื่อขายสินค้าชิ้นนั้นได้ Amazon ก็จะทำการจัดส่งไปยังลูกค้าปลายทาง) FBA ถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อมากๆ ซึ่งมันจะสอดคล้องกับเทคนิคแพงกว่าแต่ราคาโดยรวมแล้วถูกกว่า เพราะจะไม่เสียค่าจัดส่ง แถมผู้ซื้อยังได้รับของเร็วกว่า เพราะรูปแบบการจัดส่งจะเป็นแบบ 2 day shipping
ซึ่ง Service นี้จะช่วยทำให้ร้านของคุณมีประวัติการขายที่ดีอีกด้วย จากการที่มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น ความรวดเร็วในการจัดส่ง, การตอบคำถาม และอื่นๆ โดยบริการนี้ Amazon จะมีคนดูแลให้เราเอง ทำให้ร้านของคุณได้รับ Feedback และ Seller Score ที่ส่งผลต่อการที่จะขึ้นไปอยู่ในหน้า Buy Box เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น
แต่ข้อควรระวัง คือ คุณต้องคำนวณราคาต้นทุน ค่าธรรมเนียมที่ Amazon จะหักเมื่อขายได้ และค่าบริการ FBA ให้ดีๆ เพื่อที่จะได้ไม่ขาดทุนจากการขายของ