10 ก.ค. แบรนด์ไทยปรับตัวอย่างไร? ให้อยู่รอดในยุคดิจิตอล
ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงหลังมานี้มีการเปลี่ยนแปลงไปในช่่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น หรือที่เรียกว่ายุค “New Normal” ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากรที่ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้น ใช้อินเทอร์เน็ตและ Social Media มากขึ้นในทุกปี เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเจออุปกรณ์ดิจิตอลอยู่รอบตัว จึงส่งผลการทบต่อธุระกิจในวงกว้างทั้งในด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และรูปแบบการสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าอย่างตรงจุด ผลักดันให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเข้าสู่การค้าในโลกออนไลน์หรือ “ขายของออนไลน์” ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรจะต้องมีวิธีปรับตัวเพื่อรับมือให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในยุค New Normal การขายของออนไลน์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้ประกอบการทั่วโลกหันมาให้ความสนใจเป็นอย่างมากหรือที่เรียกว่า “E-Commerce” หรือ ‘การซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์’ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาตลาด E-Commerce กลายเป็นเศรษฐกิจสำคัญที่เติบโตสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปีและมีมูลค่ามหาศาล แต่สำหรับประเทศไทย แม้ว่าตลาด E-Commerce จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยจำนวนประชาชนที่ไม่ได้มีจำนวนมาก และมีการผูกขาดในด้านการตลาด ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขยายธุระกิจได้อย่างเต็มที่เมื่อเทียบกับตลาด E-Commerce ของต่างประเทศที่มีการเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี อย่าง 2 ตลาด E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดของโลก อย่าง Alibaba ของประเทศจีนที่มีจำนวนประชากรที่มากที่สุดของโลก และอย่าง Amazon และ eBay ของประเทศสหรัฐที่มีจำนวนประชากรมากเป็นลำดับที่ 3 ของโลก เมื่อเทียบกับตลาด E-Commerce ของประเทศไทยทั้งในด้านค่าเงิน และการแข่งขันในตลาดที่สูงจึงทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถขยายธุระกิจได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากตลาด E-Commerce ของต่างประเทศมีการแข่งขันสินค้าแบรนด์ไทยที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้น สินค้าแบรนด์ไทยยังถือว่ามีโอกาสอีกมากที่จะสามารถเติบโตได้ในตลาด E-Commerce ของต่างประเทศ สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจอยากส่งสินค้าไปต่างประเทศก็คงหนีไม่พ้นตลาด E-Commerce ที่ได้รับความนิยมอย่างมากของสหรัฐ ที่มีฐานลูกค้ากว่า 200 ล้านคนทั่วโลก
อ้างอิงข้อมูลจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยตลาด E-Commerce ของสหรัฐในปี 2566 โดยคาดว่าจะมีผู้บริโภคชาวอเมริกันกว่า 265 ล้านคน ซื้อสินค้าออนไลน์และทำกำไรได้สูงถึง 1.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับตลาด E-Commerce ของสหรัฐ ที่ผู้ประกอบการไทยควรรู้ ได้แก่ สินค้าที่คาดว่าจะมีการเติบโตและมียอดขายมากที่สุด ได้แก่ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ คาดว่ายอดขายจะสูงถึง 18.7% เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 15.7% สินค้าสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 11.3%
ส่วนในกลุ่มที่คาดว่าจะโตมากที่สุดในช่วง 4 ปีข้างหน้า คือ สินค้าสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อาหารและเครื่องดื่ม คาดว่ายอดขายของสินค้าดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 13.3% และ 10.5% ตามลําดับในปี 2570
“ClearSale” ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมของชาวอเมริกัน พบว่าผู้ชายมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าผ่านช่องทาง E-Commerce มากกว่าผู้หญิง และผู้บริโภคจะอยู่ในช่วงอายุ 18-34 ปี กว่า 40% มีแนวโน้มซื้อสินค้าทุกประเภทผ่านทางออนไลน์ แต่ผู้หญิงมีเพียง 33% ที่จะซื้อสินค้า
อ้างอิงจาก https://tna.mcot.net/business-1174303
“ตลาด E-Commerce ของสหรัฐเป็นตลาดที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพสูงในอนาคต โดยปัจจุบัน Amazon คือแพลตฟอร์ม E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าถึงลูกค้ากว่า 300 ล้านคนใน 180 ประเทศทั่วโลก มีคนเข้าเว็บมากกว่า 200 ล้านคนในแต่ละเดือน และ Amazon ยังเป็นแอปพลิเคชั่นบนมือถือที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐ ตามด้วย Shein เป็นอันดับ 2 และแอปพลิเคชั่นที่เป็นนิยมรองลงมา ได้แก่ Walmart, Fetch Shop, Etsy และ Temu ถึงแม้ว่าในปัจจุบันกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมซื้อผ่านทางออนไลน์ยังคงเป็นสินค้าในกลุ่มเสื้อผ้า ไลฟ์สไตล์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่คาดการณ์ว่าสินค้ากลุ่มอื่นๆ เช่น สินค้าสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อาหารและเครื่องดื่มจะมีอัตราที่เพิ่มขึ้นตามมา
ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงควรมองหาโอกาสในการเจาะตลาดของสหรัฐ ผ่านช่องทาง E-Commerce เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับสินค้าและอาจเพิ่มการนำเสนอและผลักดันสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์ม Social Media เพื่อแนะนำและทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดของสหรัฐ โดยอาจเพิ่มกลยุทธ์ในการนำเสนอสินค้าโดยเน้นไปที่กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคนยุคใหม่ ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่สำคัญในการเจาะตลาดผู้บริโภคสหรัฐ”
สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจอยากเจาะตลาดผู้บริโภคสหรัฐ หรืออยากการจะเริ่มขายสินค้าในตลาด E-Commerce สักชิ้น สิ่งที่ต้องรู้เป็นอันดับต้นๆ คือเรื่อง “การเข้าใจ Customer Journey ของลูกค้า” ซึ่งการจะนำสินค้าไปขายผ่านช่องทาง E-Commerce ผู้ประกอบการจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเข้าใจ Traffic คนที่เข้ามาดูสินค้า ว่าพวกเขามาจากที่ไหนบ้าง? เพื่อเปิดโอกาสให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักไปยังต่างแดน โดยมีข้อแนะนำดังนี้
1.วิเคราะห์ตลาด เลือกสินค้าที่เหมาะสม
ขั้นแรกผู้ประกอบการไทยควรวิเคราะห์ตลาดเพื่อทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายว่า ประเทศใดมีความต้องการนำเข้าสินค้าที่คุณผลิตบ้างและต้องการในปริมาณเท่าไหร่ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่จะส่งสินค้าของเราไปขาย รวมถึงการวิเคราะห์สินค้าที่กำลังเป็นเทรนด์ หรือเป็นสินค้าที่ลูกค้าให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้
2.วางแผนการตลาด
ในการวางแผนตลาด คือ การสร้างจุดขายของสินค้า เพื่อให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าจากเราแทนที่จะซื้อจากผู้ขายรายอื่นๆ อะไรเป็นจุดเด่นของเราที่มีมากกว่าของคู่แข่ง ทำไมลูกค้าถึงต้องซื้อสินค้าจากเราแทนที่จะซื้อจากผู้ขายรายอื่นๆ
3.เลือก Marketplace ที่ตรงกับลูกค้า
Marketplace เปรียบเสมือน “ตลาดนัดออนไลน์” ที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อซื้อขายของออนไลน์ รวมทั้งยังเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลของผู้ซื้อและผู้ขายเอาไว้เป็นจำนวนมาก Marketplace ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายของต่างประเทศก็จะมี Amazon กับ Alibaba หรือ eBay ที่เปิดให้ผู้ประกอบการจากทั่วทุกมุมโลกได้เข้าไปขายสินค้าได้
4.การจัดส่งสินค้า
การขายสินค้าไปต่างประเทศแน่นอนว่าผู้ขายต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดส่ง ต้องมีการวางแผนการจัดส่งที่่ดี ตั้งแต่การเลือกบริการที่เหมาะสม การแพ็คของให้ได้มาตรฐาน นอกจากจะทำให้ลูกค้าที่รอรับสินค้าประทับใจแล้ว ยังส่งผลต่อกำไรที่ได้อีกด้วย เพราะถ้าหากวางแผนเรื่องการจัดส่งไม่ดี อาจจะทำให้ลูกค้าไม่ประทับใจ สินค้ามีความเสียหายหรือการจัดส่งที่ล่าช้ากว่ากำหนด รวมถึงราคาค่าจัดส่งอาจจะไปกินกำไรที่ได้จากการขายสินค้า สำหรับผู้ประกอบการไทยมือใหม่ที่กำลังมองหาวิธีการจัดส่งสินค้าไปต่างประเทศแต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกขนส่งไหนดี ที่จะช่วยส่งของไปต่างประเทศให้ได้
ดังนั้น FastShip ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจาก FastShip ตัวกลางส่งของไปต่างประเทศที่รวบรวมขนส่งชั้นนำเอาไว้มากที่สุด สามารถส่งออกได้กว่า 200 ประเทศทั่วโลก และมีระบบเชื่อมต่อกับ Marketplace ชั้นนำ เพื่อให้การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยาก แถมยังมีบริการเข้ารับพัสดุที่บ้านฟรี แบบ door-to-door ไม่ต้องออกจากบ้านก็สามารถส่งของได้ บริการรับส่งพัสดุถึงมือลูกค้าตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ส่งเร็ว ส่งไว ส่งไกลทั่วโลก!!
ใครสนใจส่งกับ FastShip แต่ยังไม่รู้ต้องทำยังไง ดูวิธีสมัคร และใช้งานได้ที่นี้เลย
วิธีการสมัครสมาชิก >> https://fastship.co/helps/how-to-register-account/
วิธีการทำรายการส่งพัสดุ >> https://fastship.co/helps/how-to-create-shipment/
หรือเริ่มต้นส่งได้เลยที่นี้