08 ก.ค. 10 ข้อควรรู้ก่อนขายของ eBay ไปต่างประเทศ พร้อมอัพเดตเรื่อง Payoneer
eBay เป็น Marketplace ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก เมื่อคิดที่จะขายสินค้าไปยังต่างประเทศ (Cross Border Ecommerce) แน่นอนว่า eBay มันจะเป็นช่องทางแรกๆที่คนไทยนึกถึงอยู่เสมอ หลายๆคนอาจจะคุ้นเคยกับ eBay กันเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีมือใหม่อีกหลายๆคนที่อยากจะเริ่มต้นขายสินค้าใน eBay แต่ยังไม่มีพื้นฐาน และ eBay ในปี 2022 นี้ก็มีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต มีหลายๆเรื่องที่มือใหม่ควรจะรู้ก่อนที่จะเข้ามาเริ่มขายและส่งออกสินค้าผ่าน eBay
10 ข้อควรรู้ก่อนที่จะเริ่มต้นขายของใน eBay
สำหรับผู้ที่วางแผนจะเริ่มต้นขายสินค้าใน eBay แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ไม่รู้ว่าควรศึกษาเรื่องอะไรบ้าง บทความนี้จะช่วยเป็นไกด์ไลน์ให้คุณด้วยการรวบรวม 10 ข้อควรรู้ก่อนที่จะเริ่มต้นขายใน eBay มาให้คุณได้อ่านเพื่อทำความรู้จักการขายของ eBay กันให้มากยิ่งขึ้น
1. วิเคราะห์ตลาดและศึกษาคู่แข่ง
eBay เป็น Marketplace ที่มีลูกค้าจำนวนมหาศาลมีโอกาสในการขายที่สามารถขายสินค้าของคุณไปหลายๆประเทศทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกัน eBay ก็เป็น Marketplace ที่มีการแข่งขันสูงมากๆ เนื่องจากมีคู่แข่งจากทั่วโลกเข้ามาวางขายสินค้าที่ใกล้เคียงและพร้อมจะแย่งลูกค้าไปจากคุณเช่นกัน ดังนั้นก่อนที่คุณจะเริ่มต้นวางขายสินค้าใน eBay คุณควรศึกษาตลาดให้เข้าใจอย่างท่องแท้เสียก่อน เรามีคำแนะนำที่ใช้ในการวิเคราะห์ในมุมต่างๆดังนี้ค่ะ
- วิเคราะห์สินค้า: เพื่อค้นหาว่าสินค้าแบบไหนที่น่าขายใน eBay ก่อนที่จะเริ่มต้นขายสินค้าอะไรก็ตามลองเข้าไปดูสินค้าชิ้นนั้นบน eBay เสียก่อนและวิเคราะห์สินค้าที่วางขายอยู่นั้น แบบไหนที่มีคนให้ความสนใจเยอะ สินค้าแบบไหนที่มีลูกค้ามักจะให้ Rating ในทางที่ดี เพื่อที่จะได้นำมาประกอบเป็นข้อมูลในการคัดเลือกสินค้ามาขายใน eBay ได้
- วิเคราะห์คู่แข่ง: แน่นอนว่า eBay มีสินค้าวางขายอยู่มากมาย แล้วสินค้าของคุณมีความแตกต่างจากสินค้าที่คล้ายๆกันใน eBay อย่างไรบ้าง ถ้าเป็นสินค้าที่เหมือนๆกัน จะทำอย่างไรให้ลูกค้าสนใจสั่งซื้อสินค้าของคุณ อะไรคือจุดเด่นของคุณที่มีมากกว่าคู่แข่ง
- วิเคราะห์การตั้งราคา: ควรสำรวจตลาดก่อนว่าสินค้าที่คล้ายๆกับสินค้าของคุณ (หรืออยู่ในหมวดหมู่เดียวกันนั้น) มีการตั้งราคาเท่าไหร่ ผู้ขายส่วนใหญ่ตั้งราคาขายกันอย่างไร เพื่อที่จะได้นำมาประเมินและตั้งราคาสินค้าของเราได้
2. ค่าธรรมเนียมในการลงประกาศขายสินค้า
หนึ่งเรื่องที่สำคัญมากๆในการขายสินค้าใน eBay ที่คุณควรต้องเข้าใจให้ละเอียดก่อนที่จะเริ่มขายก็คือ “ค่าธรรมเนียม” เพราะการขายสินค้าใน eBay จะมีการคิดค่าธรรมเนียมในการลงประกาศขายสินค้าด้วย (Order transactional Fees) คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเวลาที่ลงขายสินค้าใน eBay เป็นส่วนแบ่งให้กับ eBay
สินค้าในแต่ละหมวดหมู่จะมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน บางหมวดอาจจะค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าบางหมวดก็ได้ ค่าธรรมเนียมอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจากในปัจจุบันได้ตลอด จึงแนะนำให้ติดตามจากเว็บไซต์ของ eBay เพื่ออัพเดตราคา ณ เวลานั้นๆอยู่เรื่อยๆว่าค่าธรรมเนียมของสินค้าในหมวดหมู่ที่คุณขายคิดอยู่ที่กี่ % เพื่อที่จะได้คำนวนต้นทุนต่อการขายได้
นอกจากค่าธรรมเนียมในการลงประกาศขายสินค้าใน eBay แล้ว ยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆสำหรับการใช้ฟีเจอร์อื่นๆของ eBay เพิ่มเติมด้วย ตัวอย่างเช่นฟีเจอร์หนึ่งที่น่าสนใจคือ Promoted Listings ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียม Ad fee จากการทำโฆษณาโปรโมทสินค้าใน eBay ซึ่งผู้ขายสามารถที่จะใช้ฟีเจอร์นี้เพื่อช่วยให้สินค้าของคุณถูกมองเห็นได้ง่ายยิ่งขึ้น ดูโดดเด่นกว่าสินค้าชิ้นอื่น ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยให้มีโอกาสขายสินค้าได้มากยิ่งขึ้น พูดง่ายๆว่าเป็นเหมือนกับการทำโฆษณาเพื่อโปรโมตสินค้าของคุณใน eBay นั่นเอง ข้อดีมากๆของการทำ Promoted Listings ก็คือคุณจะชำระค่าธรรมเนียมเฉพาะเมื่อมีลูกค้าคลิกที่โฆษณาเข้าไปสั่งซื้อสินค้าเท่านั้น ถ้าลูกค้าแค่ดูเฉพาะไม่สั่งซื้อ ก็จะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
3. ขายสินค้าบน eBay ต้องให้ความสำคัญกับ Feedback
Feedback คือหนึ่งในหัวใจสำคัญของการซื้อขายสินค้าใน eBay เมื่อเราสั่งซื้อสินค้าจากผู้ขายใน eBay เราสามารถให้ Feedback กับผู้ขายคนนั้นได้ แล้วเจ้า Feedback นี้ก็จะถูกโชว์อยู่ในเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ซื้อคนอื่นๆเข้ามาอ่านประกอบการตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าชิ้นนั้นได้ นอกจากจะใช้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อขายแล้ว eBay ยังใช้ Feedback นี้ในการบริหารจัดการด้านต่างๆด้วย เช่นผู้ขายมือใหม่อาจจะยังไม่สามารถใช้บางฟีเจอร์ได้ถ้าผู้ขายคนนั้นยังมี Feedback น้อยเกินไป ต้องขายสินค้าจนได้รับ Feedback มากในจำนวนหนึ่งก่อนถึงจะปลดล็อกบางฟีเจอร์ได้
หรือสินค้าในบางหมวดหมู่จะไม่สามารถลงประกาศขายได้ถ้ายังมี Feedback ไม่ครบถึงจำนวนขั้นต่ำ ตัวอย่างเช่น ผู้ขายจะต้องมี Feedback เกิน 25 แต้ม ก่อนที่จะลงขายสินค้าในหมวดหมู่ที่เกี่ยวกับยานยนต์ได้ เพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพของการขายสินค้า ดังนั้นถ้าใครวางแผนที่จะขายสินค้าที่เกี่ยวกับอะไหล่รถยนต์ อาจจะต้องขายสินค้าอื่นๆในหมวดหมู่อื่นๆเพื่อเก็บ Feedback ก่อนที่จะมาลงขายสินค้าในหมวดหมู่นี้
4. ขายสินค้าใน eBay ประเทศไหนดี
eBay ได้รับความนิยมในหลายๆประเทศไม่เฉพาะแค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่มีหลายๆประเทศที่นิยมซื้อขายสินค้าบน eBay กัน และเราเองก็สามารถที่จะลงขายสินค้าใน eBay ประเทศอื่นๆนอกจากสหรัฐอเมริกาได้ด้วย ตลาดของแต่ประเทศมีความต้องการที่แตกต่างกัน สินค้าไทยบางอย่างอาจจะได้รับความนิยมในประเทศหนึ่ง แต่อาจจะไม่มีใครสนใจเมื่อไปลงขายใน eBay อีกประเทศก็ได้ ดังนั้นจึงควรสำรวจตลาดของแต่ประเทศให้ดีว่าสินค้าของเราเหมาะกับการลงขายใน eBay ประเทศไหนมากกว่ากัน
คำแนะนำที่อยากให้คุณประเมินก่อนที่จะเลือกว่าจะขายสินค้าใน eBay ประเทศใด
- สินค้าบางชนิดไม่สามารถนำเข้าบางประเทศได้
- นอกจากนี้ยังมีเรื่องของภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย เพราะแต่ละประเทศอาจจะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในแต่ละหมวดหมู่ที่แตกต่างกันไป
- สินค้าบางชนิดอาจจะไม่เป็นที่นิยมในบางประเทศ
5. สินค้าห้ามขายใน eBay
สินค้าบางชนิดไม่สามารถลงประกาศขายใน eBay ได้ และในบางประเทศอาจจะมีกฎที่แตกต่างกัน นอกจากนี้คุณยังต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่าประเทศที่คุณต้องการจะขายสินค้านั้น อนุญาติให้นำเข้าสินค้าที่คุณขายเข้าไปในประเทศหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่อาจจะตามมาจากการขายสินค้าแล้วไม่สามารถส่งไปยังผู้ซื้อได้เนื่องจากสินค้าติดอยู่ศุลกากรจะทำให้ลูกค้าไม่ประทับใจอย่างแน่นอน ดูรายละเอียดสินค้าที่ห้ามประกาศขายทั้งหมดได้ที่ https://export.ebay.com/en/first-steps/how-create-listing/listing-legal-requirements/
6. ผู้ขายมือใหม่ต้องรู้จัก Selling Limits
หนึ่งในสิ่งที่มือใหม่ eBay หลายๆคนมักจะไม่รู้ก็คือ Selling Limits หรือการกำหนดจำนวนสินค้าที่สามารถวางขายได้ ไม่ใช่ว่าเราอยากจะขายสินค้ากี่ชิ้นก็สามารถลงขายได้มากอย่างอิสระ สำหรับผู้ขายมือใหม่ที่เพิ่มเริ่มต้นขายสินค้าใน eBay ใหม่ๆจะมี Selling limits ให้ขายสินค้าได้ไม่เกิน 10 ชิ้น หรือ มูลค่ารวมของสินค้าไม่เกิน 500 USD
ถ้าหากว่าคุณขายสินค้าจนครบ 10 ชิ้นแล้ว (หรือครบ 500 USD ก่อนแล้วแต่ว่าอะไรจะถึงก่อนกัน) คุณสามารถทำเรื่องเพื่อขอขยาย Selling Limits กับ eBay เพื่อขายสินค้าในจำนวนที่มากขึ้นหรือมีมูลค่าที่สูงมากยิ่งขึ้นได้ ซึ่งทาง eBay ก็จะมีการประเมินจาก Feedback ที่ได้รับจากผู้ซื้อด้วยว่าได้รับประสบการณ์ที่ดี ได้รับสินค้าที่ถูกต้อง การขายสินค้าของผู้ขายคนนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่
สาเหตุที่ต้องมีการกำหนด Selling Limits ขึ้นมาก็เพื่อควบคุมมาตรฐานของการขายของใน eBay เพราะผู้ขายมือใหม่อาจจะยังไม่คุ้นชินกับระบบและการจัดการอาจจะยังไม่มีความเป็นมืออาชีพมากเพียงพอเมื่อเทียบกับผู้ขายมือเก๋าที่ขายมานานกว่า เวลาเกิดปัญหา (เช่นปัญหาในการขนส่ง) อาจจะแก้ปัญหาได้ไม่เหมือนกับคนที่มีประสบการณ์ ทำให้ eBay ต้องป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นนี้ด้วยการกำหนด Selling Limits เอาไว้ แต่เมื่อคุณสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณเป็นผู้ขายที่ดีได้ ก็สามารถทำเรื่องเพื่อขอขยาย Selling Limits กับ eBay ได้
7. Seller level ของผู้ขายใน eBay
หลายคนที่เคยซื้อสินค้าใน eBay มาบ้างน่าจะคุ้นๆกับ Seller Level ใน eBay กันมาบ้าง มันคือการประเมินความสามารถของผู้ขายใน eBay ว่าผู้ขายแต่ละคนมีระดับในการขายและบริการลูกค้าได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะประเมินจากหลายๆปัจจัยเช่น
- ผู้ขายคนนั้นๆขายสินค้าได้มากน้อยแค่ไหน
- ผู้ขายคนนั้นๆให้บริการลูกค้าได้ดีมากแค่ไหน
- ผู้ขายคนนั้นๆจัดส่งสินค้าได้รวดเร็วมากน้อยแค่ไหน
- เวลาเกิดปัญหา สามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้หรือไม่
และปัจจัยอื่นๆที่ใช้ในการประเมินผู้ขายแต่ละคน จากนั้นก็นำมากำหนดว่าผู้ขายคนนั้นอยู่ในระดับใด ซึ่งในปัจจุบัน Seller level มีอยู่ 3 ระดับคือ
- Above Standard: ผู้ขายที่มีระดับในการขายที่ดี การให้บริการดี
- Top-Rated Seller: ผู้ขายที่มีระดับในการขายที่ยอดเยี่ยม สามารถขายสินค้าและให้บริการลูกค้าได้ในเกณฑ์ที่ดี ผู้ขายหลายๆคนอยากมาให้ถึงระดับนี้
- Below Standard: ผู้ขายที่อยู่ในเกณฑ์ไม่ดี อาจจะไม่สามารถให้บริการลูกค้าได้ดี มีข้อบกพร่องในการขาย เช่นลูกค้าสั่งซื้อเข้ามาแล้วปรากฎว่าสินค้าหมด ต้องยกเลิกออเดอร์ของลูกค้า หรือเวลามีการเปิด Case ปัญหาขึ้นมาแล้วปิด Case ได้น้อย ควรปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้หลุกจาก Below Standard
ในตอนเริ่มต้น ผู้ขายมือใหม่จะถูกจัดให้อยู่ในระดับ Above Standard ดังนั้นพยายามรักษามาตรให้ดี พยายามเพิ่มจนสามารถขึ้นไปอยู่ในระดับ Top-Rated Seller ให้ได้ อย่าให้ตกไปอยู่ Below Standard เด็ดขาด
8. ความแตกต่างระหว่างบัญชี eBay Business กับ eBay Individual
การเปิดบัญชีขายสินค้าใน eBay มีอยู่ 2 ประเภทหลักๆด้วยกันก็คือ
- บัญชีประเภท Individual เป็นบัญชีส่วนบุคคล ซึ่งสามารถเปิดร้านขายสินค้าใน eBay ได้ แต่เน้นขายสินค้าในอเมริกาเป็นหลัก เพราะบัญชีแบบบุคคลไม่สามารถเปิดร้านขายในยุโรปได้ (เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกฎหมายของยุโรป)
- บัญชีประเภท Business เป็นบัญชีที่เปิดร้านขายได้ทุกที่ ไม่ว่าจะอเมริกาหรือยุโรป และมีข้อดีที่เพิ่มเติมจากบัญชีส่วนบุคคลคือสามารถเชื่อมต่อ API ได้ ทำให้คุณสามารถเอาร้านค้าของคุณไปเชื่อมต่อกับโปรแกรมอื่นๆที่ช่วยในการซื้อขายได้เช่น โปรแกรมที่ช่วยในการบริการจัดการร้านค้า และโปรแกรมอื่นๆที่มีประโยชน์อีกมากมาย อีกจุดเด่นที่มากกว่าของบัญชีแบบ Business คือสามารถเข้าร่วมโครงการต่างๆที่ eBay จัดขึ้นมาได้
จะเห็นว่าทั้ง 2 ประเภทสามารถวางขายสินค้าใน eBay ได้เช่นกัน แต่ตัว Business จะมีคุณสมบัติที่มากกว่า และยังมีข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกต่างของบัญชีทั้ง 2 เพื่อช่วยในการตัดสินใจเพิ่มเติมดังนี้
- ทั้ง 2 ประเภทมีอัตราค่าธรรมเนียมเท่ากัน ผู้ขายไม่ว่าจะเป็นบัญชีแบบ Individual หรือ Business จะไม่เสียค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน
- บัญชีประเภท Individual เปิดบัญชีได้ง่ายกว่า วุ่นวายเรื่องเอกสารน้อยกว่า มีขั้นตอนที่น้อยกว่า
- บัญชีประเภท Business เหมาะสำคัญธุรกิจที่ต้องการขายสินค้าที่จริงจัง เพราะเมื่อสามารถเชื่อมต่อ API ได้ ทำให้คุณสามารถใช้โปรแกรมเสริมอื่นๆเข้ามาช่วยงานได้สะดวกขึ้นมาก และยังมีตลาดที่กว้างกว่าด้วย
9. eBay เปลี่ยนไปใช้ Payoneer แทน Paypal
ในอดีตการขายสินค้าใน eBay หลายๆคนจะคุ้นเคยกับการชำระเงินผ่าน Paypal ผู้ขายสินค้าใน eBay จะเปิดบัญชี Paypal เพื่อรับชำระเงินจากผู้ซื้อ แต่ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเพราะ eBay ได้เริ่มใช้งานระบบชำระเงินแบบใหม่ที่เรียกว่า eBay Managed Payment (นิยมเรียกกันสั้นๆว่า eBay MP) แทน Paypal โดยที่ระบบชำระเงิน eBay MP จะมี Payoneer เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
ดังนั้นผู้ขายจึงต้องเปิดบัญชี Payoneer แล้วนำมาเชื่อมกับบัญชี eBay อีกที ส่วนในฝั่งผู้ซื้อสามารถที่จะชำระเงินได้ด้วยวิธีที่สะดวกคุ้นเคยไม่ว่าจะเป็น บัตรเครดิต, Apple pay, Google pay ดังนั้นใครที่วางแผนจะขายสินค้าใน eBay ต้องเริ่มศึกษาข้อมูลรายละเอียดต่างๆของ eBay MP เอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆเพราะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะพอสมควร แนะนำให้อ่านที่บทความนี้ https://ebaythailand.co.th/ebaymp/
10. ศึกษาวิธีการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าต่างประเทศ
การจัดส่งสินค้าให้กับผู้ซื้ออย่างมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินความสำเร็จของการขายสินค้าใน eBay เพราะจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ทำให้ผู้ขายได้รับ Feedback ที่ดีรวมถึงได้รับการประเมิน Seller level จาก eBay ที่ดีอีกด้วย จึงควรส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว สินค้าไม่เสียหาย สินค้าไม่ติดด่าน และมีราคาค่าส่งสินค้าไปต่างประเทศที่ไม่สูงจนเกินไป ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ซื้อจนกลายเป็นลูกค้าประจำที่กลับมาสั่งซื้อซ้ำได้
บางครั้งผู้ขายอาจจะมีสินค้าที่ดีและตั้งราคาขายสินค้าได้โดนใจ แถมยังเป็นสินค้าที่ลูกค้าต้องการ เรียกได้ว่าทำดีไปแล้วครึ่งทาง แต่ดันมาตกม้าตายเพราะการจัดส่งที่ล่าช้าหรืออาจจะเกิดปัญหาจากการจัดส่ง ดังนั้นการศึกษาและวางแผนในการส่งสินค้าให้ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะการขายสินค้าใน eBay ที่เป็นการซื้อขายระหว่างประเทศ คุณต้องเข้าใจเรื่องเอกสาร กระบวนการ และการแพ็คสินค้าที่ดี
สินค้าบางประเภทอาจจะเหมาะกับการจัดส่งแบบหนึ่ง ส่วนสินค้าในอีกประเภทอาจจะเหมาะกับการจัดส่งในอีกรูปแบบ เรื่องของราคาค่าจัดส่งยังส่งผลต่ออัตรากำไรที่คุณจะได้รับจากการขายสินค้าชิ้นนั้นๆด้วย ทีมงาน FastShip ยินดีให้คำปรึกษาในการจัดส่งสินค้าไปต่างประเทศ ไม่ว่าคุณจะขายสินค้าอะไรลองเข้ามาขอคำแนะนำในการจัดส่งสินค้ากับ FastShip กันได้
สำหรับผู้ที่จัดส่งสินค้าไปต่างประเทศกับ Fastship เรามีระบบเชื่อมต่อ Ebay ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณได้ผ่านการใช้งานระบบ Feed ของ FastShip สามารถดาวน์โหลดที่อยู่ลูกค้า และสร้างออร์เดอร์ใน FastShip ได้ทันที นอกจากนี้ เมื่อสินค้าส่งไปแล้ว ทาง FastShip จะ Mark as Shipped และ อัพเดต Tracking Number กลับไปที่ ebay ให้อัตโนมัติ ทำให้การขายสินค้าใน eBay ของคุณสะดวกมากยิ่งขึ้น แถมประหยัดสุดๆ เพราะทุกครั้งที่ทำรายการผ่านระบบ feed คุณจะได้รับส่วนลดค่าขนส่ง 5% ทุกรายการ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://fastship.co/helps/how-to-link-ebay/
การขายของใน eBay ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนลงสนาม
การขายสินค้าใน eBay ยังคงเป็นช่องทางที่ดีสำหรับใครที่สนใจอยากขายสินค้าระหว่างประเทศ เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่มีกำลังซื้อจากหลายๆประเทศทั่วโลก แต่การลงสนาม eBay ให้ประสบความสำเร็จก็ต้องเตรียมตัวและผ่านการวางแผนที่ดีตั้งแต่เรื่องของสินค้าที่จะขาย การเตรียมเอกสาร การศึกษาระบบต่างๆของ eBay ไปจนถึงการวางแผนเรื่องการจัดส่งของไปต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าส่งของไปต่างประเทศกับ FastShip รับรองว่าไม่ผิดหวัง เพราะนอกจากจะมีเอเจ้นท์ชั้นนำให้เลือกอย่างหลากหลายแล้ว ยังมีระบบ feed ข้อมูลคำสั่งซื้อมาทำรายการอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลากรอกเอง พร้อมส่วนลดค่าขนส่งทุกชิ้น 5% ไม่มีขั้นต่ำ แค่เพียงเลือกส่งกับ FastShip ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องส่งของอีกต่อไปค่ะ