24 ก.ย. ขายของออนไลน์ไปต่างประเทศใน Marketplace อันไหนรุ่ง
ช่องทางการขายสินค้าต่างประเทศที่น่าจะสะดวกกับ SME ไทยและผู้ขายรายย่อยมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ Marketplace ที่ได้รับความนิยมในตลาดของประเทศเป้าหมาย เพราะการขายผ่าน Marketplace เป็นช่องทางที่ช่วยให้ผู้ขายเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนมากที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้าใน Platform นั้นๆและยังมีระบบรวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
เว็บไซต์ Marketplace ที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ขายชาวไทยที่ต้องการขยายตลาดไปต่างประเทศมีอยู่เป็นจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับตลาดในประเทศเป้าหมายว่านิยมใช้งาน Marketplace อันไหน ในบทความนี้เราได้รวบรวมเอา 6 Marketplaces ยอดฮิตของผู้ขายชาวไทยมารีวิวข้อดีข้อเสีย เพื่อให้มือใหม่ที่กำลังมองหาช่องทางในการขายได้รับข้อมูลที่นำไปใช้ในการเพิ่มช่องทางการขายของคุณกันค่ะ
1. Amazon
Amazon เป็นเว็บไซต์ e-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาและมีเว็บไซต์ย่อยๆที่ครอบคลุมในตลาดหลักๆของโลก เป็นเว็บไซต์ที่มีสินค้าจำหน่ายทุกหมวดหมู่ มีผู้ขายและผู้ซื้อเข้ามาแวะเวียนเลือกซื้อสินค้ากันอย่างไม่ขาดสาย และน่าจะเป็นช่องทางแรกๆที่คนไทยนึกถึงเวลาที่ต้องการขายสินค้าไปต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา
ข้อดี
- การเปิดร้านใน Amazon เป็นช่องทางที่ลงทุนต่ำ ค่าธรรมเนียมในการเปิดร้านคุ้มค่า และคิดค่าคอมมิชชั่นจากการขายสินค้าต่อชิ้น
- มีการออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย มีระบบธุรกิจที่ยอดเยี่ยม สะดวกทั้งคนซื้อและคนขาย
- ได้กำไรสูง โดยเฉพาะยิ่งกับสินค้าเฉพาะกลุ่มที่ลูกค้ายอมทุ่มเพื่อซื้อสินค้านั้น
- จำนวนลูกค้าเยอะๆ มีลูกค้าทั่วโลก สร้างโอกาสทางการขายได้มาก
- มีระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ฉลาด เว็บไซต์สามารถวิเคราะห์ลูกค้าที่เข้ามาใช้งานได้ว่าชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี
- มีระบบโฆษณา ช่วยให้สามารถโปรโมตสินค้าภายใน Amazon ได้เลย
ข้อเสีย
- Amazon มีการแข่งขันสูง (มากๆ) เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีผู้ขายจากทั่วโลก การแข่งขันด้านราคาที่ค่อนข้างสูง จึงต้องสร้างความแตกต่างและจุดขายให้ดี
- อาจจำเป็นต้องใช้เวลานานในการค้นหาสินค้าและทดลองขาย
- หากสินค้าที่ขายมีอยู่ทั่วไป ไม่มีความโดดเด่นอาจโตได้ยาก เพราะจะพบว่ามีคู่แข่งที่ขายสินค้าเหมือนๆกันในราคาที่ถูกกว่าอยู่เสมอ
- การตั้งราคาต้องคำนวณให้ครอบคลุม ทั้งค่าขนส่งและภาษีต่างๆ ถ้าตั้งราคาถูกจนเกินไปเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วอาจจะขาดทุนได้
2. eBay
eBay เว็บไซต์ที่โด่งดังจากบริการประมูลสินค้าออนไลน์ ในอดีตเคยเป็นเบอร์ 1 ของตลาดอเมริกาแต่ปัจจุบันถูก Amazon แซงหน้าไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ตาม eBay ยังคงเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมในระดับโลก นอกจากการประมูลแล้ว eBay ยังรองรับการซื้อ/ขายสินค้าแบบไม่ต้องประมูลได้จากทั่วโลก เป็นช่องทางที่เริ่มต้นได้สะดวกใช้งานง่าย มีแหล่งข้อมูลให้ศึกษาเยอะ
ข้อดี
- เริ่มต้นเปิดร้านค้าง่าย สำหรับมือใหม่
- สามารถขายสินค้าได้หลากหลาย เกือบทุกชนิด
- ระบบประมูลเหมาะกับสินค้าที่มีความแตกต่างไม่เหมือนใคร ของเก่า ของที่มีการผลิตจำกัด สินค้าลิมิเต็ดอิดิชั่นต่างๆ และสินค้ามือสองที่หายากๆ เพราะจะช่วยดันราคาประมูลให้สูงได้เป็นอย่างมาก
ข้อเสีย
- มีค่าธรรมเนียมจำนวนมากที่ผู้ขายต้องชำระต่อการขายสินค้าแต่ละชิ้น
- มีการแข่งขันสูงไม่แพ้ Amazon
- มีระบบการควบคุมคุณภาพของผู้ขายที่ค่อนข้างรัดกุมทำให้มือใหม่อาจจะเริ่มต้นได้ลำบากกว่า Amazon
3. Etsy
อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ขายชาวไทยโดยเฉพาะกลุ่มที่ขายงานฝืมือคือ Etsy เป็นเว็บไซต์ Ecommerce สำหรับการซื้อขายสินค้า handmade งานฝีมือ งานศิลปะ ที่มีเอกลักษณ์ เป็นตลาดชั้นนำสำหรับนักประดิษฐ์, ศิลปิน, คนที่ชอบงานศิลป์ และนักสะสมเพื่อขายงานสร้างสรรค์ที่ทำด้วยมือ แต่ไม่สามารถขายสินค้าที่ไม่ได้ผลิตแบบ Handmade เช่นสินค้าที่ผลิตขึ้นมาเป็นจำนวนมากด้วยเครื่องจักรได้
ข้อดี
- Etsy เป็นเว็บไซต์ Ecommerce ที่ใช้งานง่าย เริ่มต้นขายสินค้าได้ง่าย ระบบไม่ซับซ้อนมากนัก และการแข่งขันไม่หนักหน่วงเท่า Amazon กับ eBay
- หลังจากสมัครสามารถขายสินค้าได้ฟรี 30 วันแบบไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร
- เนื่องด้วยความที่กลุ่มเป้าหมายเข้ามาเลือกซื้อสินค้าที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเป็นสินค้า Handmade ที่มีคุณค่าทางจิตใจ ทำให้การตั้งราคาสามารถทำกำไรได้ดี
ข้อเสีย
- ไม่สามารถขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้ยกเว้นผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยมือ ซึ่งเป็นทั้งจุดเด่นและข้อจำกัด ทีมงานของ Etsy จะมีการซุ่มตรวจอยู่เรื่อยๆ ถ้าหากพบว่าสินค้าไม่ถูกต้องตามกฎจะมีการถอดสินค้าออกจาก Platform ไป
- ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี สินค้าที่เป็นงานฝีมือและสินค้าที่เกี่ยวกับงานศิลปะอาจจะมีกำลังซื้อที่หายไปได้
- อาจจะต้องมีการเตรียมข้อมูลในส่วนของการผลิตและสถานที่นกรณีที่ถูกเรียกตรวจสอบ
4. Pinkoi
เป็นเว็บไซต์ซื้อขายงานดีไซน์ออนไลน์ชั้นนำของเอเชีย เน้นซื้อขายสินค้าที่มีงานดีไซน์ที่ดีเช่น เสื้อผ้า, เครื่องประดับ, กระเป๋า, เครื่องเขียน ไปจนถึงคลาสเวิร์คช็อป จุดเด่นคือทำให้ผู้ซื้อได้เลือกซื้อสินค้าที่อาจจะไม่ซ้ำกับตลาดแมส เพราะสินค้ามีดีไซน์จากดีไซเนอร์
ข้อดี
- ฟรีค่าเปิดสตูดิโอและค่าลงสินค้า
- ไม่จำกัดจำนวนในการลงสินค้า
- มีระบบแปลภาษาอัตโนมัติ ช่วยในการขายข้ามประเทศ
- สามารถจัดการสตูดิโอได้ตามสไตล์ของแบรนด์
- โดดเด่นในตลาดเอเซียเป็นหลัก แต่ปัจจุบันก็มีการขยายตลาดไปยังอเมริกา แคนาดา ด้วยแล้ว
ข้อเสีย
- มีการแข่งขันสูง
- เน้นกลุ่มลูกค้าหลักใน 5 ประเทศเอเชีย ไม่ได้เน้นขายได้ทั่วโลก
5. Alibaba
มาถึงอีกหนึ่งเว็บไซต์ยอดฮิตของคนไทยคือ Alibaba เว็บไซต์ขายส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ซื้อและผู้ขายจากทั่วโลกเข้ามาใช้บริการใน Alibaba เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน มีชื่อเสียงในการซื้อสินค้าแบบ B2B จนหลายๆคนเรียกว่าเว็บไซต์ B2B ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกเลยทีเดียว Alibaba เป็นเว็บไซต์สัญชาติจีนที่ได้รับมาตราฐานสากล มีความน่าเชื่อถือ และแน่นอนว่าถ้าคุณอยากขยายตลาดสินค้าของคุณไปยังต่างประเทศในปริมาณมากๆ Alibaba ย่อมเป็นช่องทางหนึ่งที่จะเหมาะกับกับสินค้าของคุณอย่างแน่นอน
ข้อดี
- ด้วยความที่เป็น Marketplace อันดับต้นๆของประเทศจีนและเป็นช่องทาง B2B สำหรับตลาดโลกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทำให้ Alibaba มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก
- เป็นแพลตฟอร์มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในจีน ฐานลูกค้ามาก
- เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มขายส่ง ถ้าสินค้าเป็นที่ตรงใจ จะทำให้ได้คำสั่งซื้อในระยะยาว
ข้อเสีย
- เป็นช่องทางสำหรับการขายส่ง ดังนั้นต้องซื้อขายในจำนวนมาก
- การจัดการร้านค้าทำได้ค่อนข้างยาก
6. Shopify
ปิดท้ายกันกับอีก 1 platform ที่อาจจะไม่ได้เป็น Marketplace โดยตรง แต่ก็เป็น Ecommerce platform ที่ได้รับความนิยมจากคนไทยไม่แพ้กันนั่นก็คือ Shopify แพลตฟอร์มสำหรับใช้ในการสร้างร้านค้าออนไลน์หรือเว็บไซต์ E-Commerce แบบสำเร็จรูป สร้างเว็บไซต์ขายของขึ้นมาเองโดยไม่เขียนโปรแกรมเลย จำหน่ายสินค้าไปยังลูกค้าโดยตรงไม่ผ่าน Marketplace (เราเรียกว่าเป็น Brand.com)
ปัญหาของการทำเว็บไซต์สำหรับขายสินค้าคือ ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์ซึ่งอาจจะมีราคาแพงและการออกแบบระบบต่างๆที่ผู้ขายอาจจะไม่ถนัด Shopify จึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ เพราะเป็น Platform ที่ช่วยให้คุณสามารถทำเว็บไซต์ขายสินค้าได้โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเป็น ระบบออกแบบให้ใช้งานง่าย สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ได้ภายใน 1 วัน และมีราคาเริ่มต้นเพียงหลักร้อยบาทต่อเดือนเท่านั้น
ข้อดี
- ด้วยความที่ Shopify ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมเลย สามารถมีเว็บไซต์ E-Commerce ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
- การมีเว็บไซต์จะช่วยทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือ เพราะเป็นเว็บไซต์แบบ Official ของแบรนด์เอง ทำให้ได้รับความน่าเชื่อและเป็นพื้นที่สำหรับ
- ระบบของ Shopify สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Facebook Shop ได้อย่างสะดวก ทำให้เราสามารถ Export สินค้าในเว็บไซต์ของเราไปยัง Facebook shop ได้โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมเลย
- สำหรับผู้ที่ทำเว็บไซต์ขายสินค้าผ่าน Shopify สามารถที่จะใช้บริการส่งของกับ Fastship ได้อย่างสะดวก โดยการ Import ที่อยู่ในการจัดส่งจาก Order ที่เกิดขึ้นใน Shopify เข้ามายัง Fastship ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ดูขั้นตอนการส่งของด้วย FastShip สำหรับผู้ขายบน Shopify ได้ที่ https://fastship.co/shopify/
ข้อเสีย
- ไม่ได้เป็นการขายสินค้าผ่าน Marketplace ทำให้คุณต้องทำการตลาดเพื่อหาลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ด้วยตัวเอง
- ต้องจัดการและดูแลระบบหลังบ้านด้วยตัวเองทั้งหมด
จัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าต่างประเทศ
ไม่ว่าจะขายสินค้าไปต่างประเทศผ่าน Platform ยอดฮิตตัวใดก็ตาม คุณสามารถที่จะจัดส่งสินค้ากับ Fastship ได้แบบมั่นใจว่าสินค้าของคุณจะถูกส่งอย่างรวดเร็ว ปลอดภัยถึงมือผู้รับ ในราคาที่คุ้มค่า พร้อมกับทีมงานที่ยินดีช่วยเหลือทุกขั้นตอน พร้อมให้ข้อมูลและตอบทุกความสงสัยขอบคุณ นอกจากนี้ Fastship ยังมีบริการที่เป็นตัวช่วยในการอำนวยความสะดวกในการขายสำหรับ Platform ดังต่างๆ เมื่อคุณมีออเดอร์เข้ามาจาก Amazon, eBay, Etsy คุณสามารถที่จะ Export และเชื่อมต่อเข้ากับ Fastship ได้อย่างสะดวก ไม่ต้องมานั่งกรอกข้อมูลเอง และที่พิเศษที่สุดคือ Fastship ยังมีบริการ door to door รับสินค้าถึงหน้าบ้านของคุณด้วยค่ะ
นอกจากการเลือก Marketplace ที่เหมาะสมกับสินค้าของคุณแล้ว การเลือกตลาดส่งออกที่เหมาะสมก็มีโอกาสที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากอีกด้วย ลองศึกษาตลาดส่งออกของไทยเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้เลยค่ะ วิเคราะห์ตลาดส่งออกสินค้าไทยสำหรับ SME พร้อม 10 สินค้าน่าส่งออก